GL ยกชั้นขึ้นผู้นำ FinTech ในเอเชีย
บมจ.กรุ๊ปลีส หรือ GL ผู้นำธุรกิจดิจิทัลไฟแนนซ์ในภูมิภาคเอเชีย ประกาศเป้าหมายพัฒนาขึ้นเป็นบริษัทชั้นนำด้าน FinTech ในภูมิภาคเอเชียภายใน 5 ปีข้างหน้า โดยอาศัยแพลตฟอร์มดิจิทัลไฟแนนซ์ที่บริษัทฯ ได้คิดค้นและพัฒนาขึ้นและประสบความสำเร็จในการนำมาใช้ขยายฐานธุรกิจใน 7 ประเทศ ประกอบด้วย ฐานธุรกิจในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งประกอบด้วย กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมาร์ สิงคโปร์ อินโดนีเซียและศรีลังกา
นายมิทซึจิ โคโนชิตะ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ GL กล่าวชี้แจงว่า กลุ่ม GL ได้ทุ่มเทพัฒนาระบบไอทีอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการให้บริการสินเชื่อด้านต่างๆ โดยแพลตฟอร์มดิจิทัลไฟแนนซ์ในปัจจุบันสามารถเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในกระบวนการทำธุรกิจทั้งหมด เริ่มตั้งแต่การประเมินใบสมัครขอเงินกู้ของลูกค้าจนถึงระบบการชำระเงินค่างวดของลูกค้า ตลอดจนการติดต่อปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ ได้ว่าจ้างนักเขียนโปรแกรมและพนักงานพัฒนาระบบไอทีเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวในครึ่งปีที่ผ่านมา จนขณะนี้มีพนักงานด้านไอทีทั้งสิ้นประมาณ 350 คน และยังคงเดินหน้าอัพเกรดโปรแกรมด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่อง โดยแพลตฟอร์มของ GL มุ่งเน้นเจาะลูกค้ารายย่อยจำนวนมาก ซึ่งกระจายกันอยู่ทั่วไปในพื้นที่ชนบทอันเป็นพื้นที่ที่ระบบธนาคารเข้าไม่ถึงและ GL เองแทบจะไม่มีคู่แข่งเลย
นายมิทซึจิ อธิบายว่า ระบบ FinTech ของ GL นี้ คาดว่าจะใช้ได้ผลอย่างเต็มที่ในตลาดใหม่ของ GL 2 แห่ง คือ เมียนมาร์และอินโดนีเซียซึ่งมีประชากรหนาแน่น โดยเฉพาะอินโดนีเซียที่เป็นสมาชิกของอาเซียนที่มีประชากรมากที่สุดกว่า 250 ล้านคน โดยตลาดทั้ง 2 แห่งนี้จะเป็นตลาดที่มีการขยายตัวสูง ซึ่งคาดว่าพอร์ตสินเชื่อในเมียนมาร์จะสามารถเพิ่มขึ้นไปได้ถึง 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในอีก 5 ปีข้างหน้า และตลาดอินโดนีเซียซึ่งใหญ่กว่าจะสามารถขยายสินเชื่อได้ถึงหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยถึงแม้ว่าตลาดทั้ง 2 แห่งนี้ในเฉพาะหน้ายังมีขนาดเล็ก เนื่องจาก GL เพิ่งขยายเข้าไปในรอบปีที่ผ่านมา แต่นายมิทซึจิกล่าวแสดงความมั่นใจว่าการลงทุนในระบบและโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ได้เสร็จสิ้นแล้วและจากนี้ไปธุรกิจทั้ง 2 ประเทศจะสามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดด
ทั้งนี้ GL รายงานตัวเลขกำไรสุทธิในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ จำนวน 338 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และถือเป็นสถิติกำไรสูงสุดใหม่ต่อเนื่องกันเป็นไตรมาสที่ 11 โดยยอดกำไรที่พุ่งสูงขึ้นนี้เป็นผลสืบเนื่องจากผลประกอบการที่ดีขึ้นในประเทศไทย สปป.ลาว เมียนมาร์และอินโดนีเซีย ในขณะที่ผลประกอบการในกัมพูชาและศรีลังกาก็เป็นไปตามคาด โดยในศรีลังกานั้น GL ได้รับส่วนแบ่งกำไรจากการถือหุ้น 29.99% ในบริษัทท้องถิ่นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โคลัมโบ ชื่อบริษัท Commercial Credit & Finance หรือ CCF ทั้งนี้ ส่วนแบ่งกำไรจากกัมพูชาและประเทศไทยที่ 42% และ 40% ตามลำดับของยอดกำไรทั้งหมด ยังถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่สุด ถึงแม้ว่าธุรกิจในเมียนมาร์เพิ่งจะเริ่มต้นในปีนี้ แต่การเติบโตก็ได้รุดหน้าขยายตัวอย่างมากโดยเฉพาะลูกค้าไมโครไฟแนนซ์ที่เพิ่มขึ้นถึง 4 เท่าตัว เป็นจำนวน 40,000 รายภายในเวลาเพียง 5 เดือน โดยบริษัท BGMM ซึ่งเป็นบริษัทไมโครไฟแนนซ์ท้องถิ่นที่ GL ถือหุ้นเต็ม 100% ได้รับอนุมัติจากทางการเมียนมาร์ ให้ขยายธุรกิจไปในพื้นที่อีก 6 จังหวัด นอกเหนือจาก 3 จังหวัดซึ่งบริษัทได้ประกอบธุรกิจอยู่เดิม โดยการขยายพื้นที่ประกอบธุรกิจนี้คาดว่าจะทำให้ BGMM สามารถเพิ่มลูกค้าและฐานรายได้ในครึ่งหลังของปีนี้
ในขณะเดียวกัน ธุรกิจที่อินโดนีเซียก็ขยับขยายได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน โดยบริษัท PT Group Lease Finance Indonesia (GLFI) ได้บรรลุข้อตกลงเมื่อเร็วๆ นี้กับบริษัท TATA Motor Distribusi Indonesia (TMDI) เพื่อเป็นบริษัทไฟแนนซ์ทางเลือกเจ้าแรกของลูกค้า TMDI โดยพนักงานของ GL จะนั่งประจำในโชว์รูมของ TMDI เพื่ออำนวยความสะดวกในการให้สินเชื่อแก่ลูกค้าที่มาซื้อรถบรรทุก TATA ซึ่งข้อตกลงกับ TATA นี้ คาดว่าจะช่วยสร้างโมเมนตั้มในการรุกขยายสินเชื่อด้านอื่นๆ ซึ่ง GLFI ทำร่วมกับพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ J Trust ASIA (JTA) โดยเฉพาะสินเชื่อสำหรับมอเตอร์ไซค์ใหม่และมอเตอร์ไซค์มือสอง เครื่องจักรกลการเกษตรและเงินกู้ไมโครไฟแนนซ์
ขณะที่ บทวิเคราะห์ล่าสุดของบริษัทหลักทรัพย์ DBS Vickers Securities ระบุว่า ในระยะยาวธุรกิจในเมียนมาร์จะเติบโตเป็นอันดับ 2 รองจากธุรกิจในอินโดนีเซียเท่านั้น ทั้งนี้ เนื่องจากตลาดมอเตอร์ไซค์ในเมียนมาร์มีขนาดใหญ่มาก (หรือประมาณ 3 เท่าตัวของตลาดกัมพูชา) แต่ประชาชนส่วนใหญ่สามารถเข้าถึงตลาดสินเชื่อได้เป็นส่วนน้อย โดยบริษัท GL-AMMK ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง GL กับกลุ่มธุรกิจสุรายักษ์ใหญ่ในเมียนมาร์ มีข้อตกลงพิเศษในการปล่อยสินเชื่อให้กับรถมอเตอร์ไซค์ HONDA คล้ายกับข้อตกลงพิเศษในกัมพูชา ซึ่งส่วนแบ่งตลาดของ HONDA ในตลาดมอเตอร์ไซค์ในเมียนมาร์ปัจจุบันยังมีต่ำมากเพียงแค่ 10% (เทียบกับส่วนแบ่งตลาดถึง 95% ของ HONDA ในกัมพูชา) ซึ่งหมายความว่าการปล่อยสินเชื่อสำหรับมอเตอร์ไซค์ HONDA ในเมียนมาร์ยังสามารถขยายตัวได้อีกอย่างมหาศาล โดย DBS Vickers Securities วิเคราะห์เพิ่มเติมว่า นอกจากสินเชื่อเช่าซื้อแล้ว GL ยังมีศักยภาพในการปล่อยสินเชื่อ SMEs สำหรับเอเย่นต์และร้านโชห่วยจำนวนประมาณ 22,000 ราย ซึ่งอยู่ในเครือข่ายของกลุ่มสุรา AMMK
นายมิทซึจิ กล่าวเพิ่มเติมว่า รายได้และกำไรจากเมียนมาร์และอินโดนีเซียในขณะนี้อาจจะยังไม่มาก แต่นับจากนี้ธุรกิจจะสามารถขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากการลงทุนในการจัดตั้งระบบการบริหารและโครงสร้างการทำธุรกิจต่างๆ ได้เสร็จสิ้นแล้ว โดยเขากล่าวสรุปว่าอินโดนีเซียจะเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของ GL ภายใน 5 ปีข้างหน้า ซึ่งจะมีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยขณะนี้ GL ได้ขยายไปสู่พื้นที่ชนบทหลายแห่งในเกาะหลักของอินโดนีเซียทุกเกาะ ซึ่งแทบจะไม่มีคู่แข่งและ GL พร้อมที่จะรุกคืบด้วยความมั่นใจ