PRM เตรียมขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 650 ล้านหุ้น หลัง ก.ล.ต. นับ 1 ไฟลิ่ง
บมจ. พริมา มารีน (“PRM”) ผู้ให้บริการขนส่งและจัดเก็บน้ำมันดิบ ผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูป ผลิตภัณฑ์น้ำมันกึ่งสำเร็จรูป และปิโตรเคมีเหลวทางเรืออย่างครบวงจรซึ่งเป็นรายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย รวมถึงให้บริการเรือขนส่งที่สนับสนุนงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมกลางทะเล และการบริหารจัดการกองเรือของอุตสาหกรรมน้ำมันและปิโตรเคมี เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าทั้งในและต่างประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เตรียมเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 650 ล้านหุ้น คาดเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ภายในปีนี้ ด้านผู้บริหารมั่นใจศักยภาพการดำเนินธุรกิจเป็นผู้ให้บริการกองเรือขนส่งและจัดเก็บน้ำมันดิบ น้ำมันสำเร็จรูป น้ำมันกึ่งสำเร็จรูป และปิโตรเคมีเหลวทางเรืออย่างครบวงจร สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน เปิดเผยว่าหลังจาก บมจ.พริมา มารีน ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อขอเสนอขายหุ้นสามัญให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 650 ล้านหุ้น ล่าสุด สำนักงาน ก.ล.ต.ได้นับหนึ่งแบบคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นและแบบไฟลิ่งของ บมจ.พริมา มารีน เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้ บมจ.พริมา มารีน เป็นผู้ให้บริการขนส่งและจัดเก็บน้ำมันดิบ น้ำมันสำเร็จรูป น้ำมันกึ่งสำเร็จรูป และปิโตรเคมีเหลวทางเรืออย่างครบวงจร ซึ่งเป็นรายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย รวมถึงให้บริการเรือขนส่งที่สนับสนุนงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมกลางทะเล และการบริหารจัดการกองเรือของอุตสาหกรรมน้ำมันและปิโตรเคมี ซึ่งประกอบด้วย 4 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ 1.ธุรกิจเรือขนส่งน้ำมันดิบ น้ำมันสำเร็จรูป น้ำมันกึ่งสำเร็จรูป และปิโตรเคมีเหลว (ธุรกิจเรือขนส่งฯ) 2.ธุรกิจเรือขนส่งและจัดเก็บน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูป (ธุรกิจเรือขนส่งและจัดเก็บ FSU) 3.ธุรกิจเรือขนส่งที่ให้การสนับสนุนงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมกลางทะเล (ธุรกิจเรือ Offshore) และ 4. ธุรกิจบริหารจัดการเรือ
นางสาววีณา เลิศนิมิตร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สาย Primary Distribution ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า ปัจจุบัน บมจ.พริมา มารีน มีทุนจดทะเบียน 2,500 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 2,500 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท โดยทุนที่ออกและชำระแล้วมีจำนวน 2,000 ล้านบาท และจะเสนอขายหุ้นสามัญให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 650 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 26 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ แบ่งเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดย บมจ.พริมา มารีน จำนวนไม่เกิน 500 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดยผู้ถือหุ้นเดิม คือ Austin Asset Limited จำนวน 105 ล้านหุ้น และบริษัท นทลิน จำกัด จำนวน 45 ล้านหุ้น ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 20 ร้อยละ 4.2 และร้อยละ 1.80 ตามลำดับ ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนในครั้งนี้ โดยเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ บมจ.พริมา มารีน จะนำไปใช้ลงทุนเรือลำใหม่และขยายกองเรือในธุรกิจเรือขนส่งฯ ธุรกิจเรือขนส่งและการจัดเก็บ FSU และธุรกิจเรือ Offshore นอกจากนี้ บางส่วนจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจและใช้สำหรับชำระคืนเงินกู้ต่อไป
นายชาญวิทย์ อนัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) (“PRM”) กล่าวว่า บริษัทฯ เป็นผู้ให้บริการกองเรือขนส่งและจัดเก็บน้ำมันดิบ น้ำมันสำเร็จรูป น้ำมันกึ่งสำเร็จรูป และปิโตรเคมีเหลวทางเรืออย่างครบวงจร โดย ณ วันที่ 31 มีนาคม 2560 กองเรือที่กลุ่มพริมา มารีนและกิจการร่วมค้าเป็นเจ้าของที่ให้บริการมีจำนวนทั้งสิ้น 22 ลำ มีขนาดน้ำหนักบรรทุกรวม 2,219,002 DWT นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทฯ ยังมีเรือขนส่งน้ำมันที่ว่าจ้างจากบริษัทภายนอก เพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจรองรับการให้บริการแก่ลูกค้าอีกด้วย
ทั้งนี้ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2560 ธุรกิจเรือขนส่งฯ กลุ่มพริมา มารีนและกิจการร่วมค้า มีกองเรือที่กลุ่มบริษัทฯ เป็นเจ้าของ ให้บริการจำนวน 13 ลำ มีขนาดน้ำหนักบรรทุกรวม 251,183 DWT เพื่อให้บริการขนส่งน้ำมันดิบ น้ำมันสำเร็จรูป น้ำมันกึ่งสำเร็จรูป และปิโตรเคมีจากโรงกลั่น คลังน้ำมันหรือท่าเรือต้นทาง โดยมีเส้นทางการขนส่งในประเทศและระหว่างประเทศที่อยู่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ส่วนธุรกิจเรือขนส่งและจัดเก็บ FSU มีเรือให้บริการจำนวน 6 ลำ ที่มีถังเก็บสินค้าขนาดใหญ่ 7-17 ถังต่อลำ รวมขนาดน้ำหนักบรรทุกสูงสุด 1,776,065 DWTเพื่อให้บริการขนส่งและจัดเก็บน้ำมันแบบคลังลอยน้ำตามปริมาณและระยะเวลาที่ลูกค้ากำหนด ซึ่งเรือ FSU ของบริษัทฯ จอดในน่านน้ำระหว่างประเทศสิงคโปร์และมาเลเซีย ซึ่งเป็นศูนย์กลางธุรกิจซื้อขายน้ำมันของภูมิภาคเอเชีย
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังให้บริการเรือ offshore จำนวน 3 ลำ เพื่อสนับสนุนงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมกลางทะเลแก่ลูกค้าบริษัทสำรวจและขุดเจาะน้ำมันกลางทะเล โดยมีธุรกิจให้บริการได้แก่ เรือขนส่งและจัดเก็บน้ำมันดิบสำหรับแท่นขุดเจาะน้ำมัน (FSO) ธุรกิจเรือขนส่งและที่พักอาศัยสำหรับพนักงานประจำแท่นขุดเจาะน้ำมันปิโตรเลียม (AWB) และธุรกิจเรือสนับสนุนลาก-จูง และจัดการสมอ (AHTs) โดยบริษัทฯ มีเรือ FSO จำนวน 2 ลำ ขนาดบรรทุกสูงสุด 191,754 DWT และมีเรือขนส่งและที่พักอาศัยสำหรับพนักงานประจำแท่นขุดเจาะน้ำมันปิโตรเลียม (เรือ AWB) อีกจำนวน 1 ลำ รองรับได้ 300 คน
ขณะเดียวกัน ยังให้บริการบริหารจัดการเรือแก่เรือขนส่งน้ำมัน เรือ FSU เรือ FSO เรือ AWB และเรือรับส่งคนประจำเรือ ที่บริษัทฯ ทำหน้าที่บริหารจัดการด้านเทคนิค ด้านคนเรือและการบริหารงานเพื่อความปลอดภัยแก่คนประจำเรือ สินค้าและตัวเรือ โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเป็นหลักอีกด้วย
“เรามีความเชี่ยวชาญในธุรกิจเรือขนส่งและจัดเก็บน้ำมัน และปิโตรเลียมเหลวอย่างครบวงจร ตั้งแต่การขนส่งน้ำมันทางทะเล การจัดเก็บน้ำมันบนคลังเรือลอยน้ำ การให้บริการทางเรือที่สนับสนุนงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมกลางทะเล และการบริหารจัดการกองเรือของอุตสาหกรรมน้ำมันและปิโตรเคมี ทำให้เรามีขีดความสามารถแข่งขันในด้านการให้บริการแก่ลูกค้ากลุ่มบริษัทน้ำมันขนาดใหญ่ โรงกลั่นน้ำมันและผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ทั้งในและต่างประเทศได้ดียิ่งขึ้น ส่งผลให้บริษัทฯ มีศักยภาพการเติบโตที่ดีได้อย่างต่อเนื่องตามความต้องการใช้น้ำมันในภูมิภาคเอเชียแปฟิกที่เพิ่มขึ้น” นายชาญวิทย์ กล่าว
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พริมา มารีน กล่าวว่า บริษัทฯ มีแผนจะใช้เงินที่ได้จากระดมทุนในครั้งนี้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการขนส่งและจัดเก็บน้ำมันดิบ ผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูป ผลิตภัณฑ์น้ำมันกึ่งสำเร็จรูปและปิโตรเคมีเหลวทางเรือ การสนับสนุนสำรวจและผลิตปิโตรเลียมกลางทะเลและบริหารจัดการกองเรือ โดยมีแผนขยายกองเรือที่สำคัญในระหว่างปี 2560-2562 ดังนี้
1. ธุรกิจเรือขนส่งฯ จะลงทุนเรือขนส่งขนาดบรรทุก 3,000-10,000 DWT ประมาณ 9 ลำ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 2,340 ล้านบาท คาดรองรับปริมาณขนส่งสินค้าจากการลงทุนในครั้งนี้เพิ่มขึ้น 3,800 ล้านลิตรต่อปี และลงทุนเรือขนส่งขนาดใหญ่ ประมาณ 11 ลำ ประกอบด้วยเรือขนาดประมาณ 14,000 DWT เรือ MR เรือ LR เรือ Aframax และเรือ VLCC เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจขนส่งฯ รวมทั้งสนับสนุนการดำเนินธุรกิจเรือขนส่งและจัดเก็บ FSU มูลค่าโครงการรวมประมาณ 6,890 ล้านบาท คาดจะช่วยเพิ่มปริมาณขนส่งอีก 16,700 ล้านลิตรต่อปี
2. มีแผนลงทุนขยายธุรกิจเรือขนส่งและจัดเก็บFSU เพื่อเพิ่มศักยภาพการกักเก็บน้ำมันอีก 4 ลำ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 4,200ล้านบาท รับการเติบโตของอุตสาหกรรมขนส่งและจัดเก็บน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ 3. จะพิจารณาการลงทุนในเรือขนส่งและจัดเก็บน้ำมันดิบสำหรับแท่งขุดเจาะน้ำมัน (เรือ FSO) ประมาณ 2 ลำ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 1,090 ล้านบาท รองรับการเติบโตของธุรกิจการปฏิบัติงานการสำรวจและขุดเจาะน้ำมันดิบกลางทะเลทั้งในน่านน้ำไทยและประเทศใกล้เคียงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สำหรับแผนการลงทุนนี้ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการขนส่งสินค้าทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณ ขยายตลาดเรือขนส่งสินค้าปิโตรเคมีซึ่งมีโอกาสเติบโตสูง รวมถึงขยายขอบเขตการให้บริการขนส่งสินค้าไปยังเส้นทางการเดินเรือใหม่ๆ ทั้งในและต่างประเทศ เช่น เส้นทางไทย-เมียนมาร์ ไทย-จีน ไทย-ญี่ปุ่น เป็นต้น ตลอดจนการขยายฐานลูกค้าใหม่เพิ่มเติม โดยเฉพาะฐานลูกค้าในประเทศใกล้เคียงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีโอกาสเติบโตสูง